วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2559

สาระน่ารู้เกี่ยวกับ สาหร่ายคลอเรลลา ชาเขียว และข้าวบาร์เลย์

ก่อนหน้านี้เราได้รู้จักกับ อัลฟัลฟ่า และวีทกราส (ต้นข้าวสาลีอ่อน) วันนี้จะขอพูดถึงพืช 3 ชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเรา ได้แก่ สาหร่ายคลอเรลลา ชาเขียว และข้าวบาร์เลย์ 

 

 สาหร่ายคลอเรลลา  (Chlorella)
สาหร่ายคลอเรลลา ถูกขนานนามว่า “Dream Food  จากการค้นคว้าทางวิทยาศาสต์พบว่า สาหร่ายคอลเรลล่า ได้เกิดขึ้นมาบนโลกนี้ได้ 2 พันล้านปี เป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจของนักวิทยาศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่ทำให้สาหร่ายคอลเรลล่าไม่สูญพันไป มีอยู่กัน 2 หลักใหญ่ ๆ คือ

        1.  สาหร่ายคอลเรลลา มีขนาดเล็กมาก เพียง 3-8 ไมโครมิเตอร์ และมีผนังเซลล์ที่แข็งแรงมาก 
                2.  สาหร่ายคอลเรลลา มีระบบการขยายพันธุ์ที่รวดเร็วมาก คือทุกๆ 20-24 ชั่วโมง มีการแบ่งเซลล์จาก 1 ไปเป็น 4

มนุษย์เราเริ่มนำสาหร่ายคอลเรลล่ามาใช้เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1930 สาหร่ายคอลเรลล่าอุดมไปด้วยโปรตีน วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ จำนวนมากจำเป็นต่อร่างกายอย่างครบถ้วน
สาหร่ายคอลเรลลาอุดมด้วยโปรตีนพิเศษ Chlorella Growth Factor (CGF) ที่ช่วยการเจริญเติบโตของร่างกายในเด็กทั้งน้ำหนักและส่วนสูง  มีคลอโรฟิลล์ ในความเข้มข้นที่สูงกว่าพืชชนิดอื่น  มีเปลือก (ผนังเซลล์) ดูดซับสารพิษ  และกระตุ้นการทำงานของทางเดินอาหาร   ช่วยให้แผลหายเร็ว อาทิ แผลในทางเดินอาหาร แผลเรื้อรัง  ช่วยขับสารพิษในร่างกาย   ช่วยระบบทางเดินอาหารให้ทำงานเป็นปกติ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ต่อต้านไวรัส   ปรับสมดุลของร่างกาย (กรด-ด่าง) ลดโอการเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง ช่วยให้หลอดเลือดและหัวใจแข็งแรง และคุณประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย



 


ชาเขียว

ชามีต้นกำเนิดจากประเทศจีน ตั้งแต่ก่อนคริสต์ศักราช ในประเทศไทยเกิดในสมัยสุโขทัย โดยนิยมชงมาไว้เพื่อรับแขก  สำหรับการปลูกชาในประเทศไทยนั้น แหล่งกำเนิดเดิมอยู่ทางภาคเหนือ

ชาเขียว (Green tea) คือ ชาที่ได้มาจากต้นชา ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Camellia sinensis ซึ่งชาชนิดนี้จะไม่ผ่านขั้นตอนการหมักเลย เตรียมได้โดยการนำใบชาสดมาผ่านความร้อนเพื่อทำให้ใบชาแห้งอย่างรวดเร็ว ซึ่งวิธีการก็คือเมื่อเก็บใบชามาแล้วก็นำมาทำให้แห้งอย่างรวดเร็วในหม้อทอง แดงโดยใช้ความร้อนไม่สูงเกินไปและใช้มือคลึงเบา ๆ ก่อนแห้ง หรืออบไอน้ำในระยะเวลาสั้น ๆ แล้วนำไปอบแห้งเพื่อยับยั้งการทำงานเอนไซม์ (ความร้อนจะช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ทำให้ไม่เกิดการสลายตัว) จึงได้ใบชาที่แห้งแต่ยังสดอยู่ และมีสีที่ค่อนข้างเขียว จึงเรียกกันว่า ชาเขียวและการที่ใบชาที่ได้นั้นไม่ผ่านขั้นตอนการหมัก จึงทำให้ใบชามีสารประกอบฟีนอล (Phenolic compound) หลงเหลืออยู่มากกว่าในอู่หลงและชาดำ (สองชนิดนี้คือชาที่ผ่านการหมัก) จึงทำให้ชาเขียวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาทั้งสอง
ความลับของชาเขียวอยู่ที่ปริมาณสาร Catechin Polyphenol โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  EpigallocatechinGallate (EGCG) ที่มีอยู่มากในตัวชา EGCG เป็นสารต้านพิษ และยังช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งด้วยการฆ่าเซลล์มะเร็ง โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อส่วนดี นอกจากนั้นยังช่วยลดระดับ LDL คลอเรสเตอรอลและยับยั้งการก่อตัวแบบผิดปกติของก้อนเลือด ซึ่งเป็นเหตุของอาการหัวใจวายและลมชัก     ในการวิจัยเมื่อปี 1997 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคนซัส สรุปว่า EGCG นั้นแรงเท่า ๆ กับ Resveratrol ถึงเกือบ 2 เท่า  ซึ่งเป็นการอธิบายว่า ทำไมชาวญี่ปุ่นจึงมีอัตราการเสี่ยงโรคหัวใจค่อนข้างต่ำแม้ว่ากว่า 75% จะสูบบุหรี่ก็ตามสารสกัด EGCG นี้ในทางเคมีจัดเป็นสารโพลีฟีนอลชนิดหนึ่งที่มีการวิจัยกันอย่างกว้างขวาง และหลายการวิจัยก็พบว่า   สาร EGCG   ดังกล่าวนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย   ได้แก่
1.  มีส่วนช่วยในขบวนการการกำจัดไขมัน คลอเรสเตอรอลในหลอดเลือด ซึ่งทำให้ลดภาวะความเสี่ยง
     ต่อโรคความดันโลหิตสูงจากการอุดตันของไขมันในหลอดเลือด
2.  ช่วยในการขับสารพิษ และสารอนุมูลอิสระ จึงส่งผลในการป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะมะเร็งและ
    โรคความเสื่อมของเซลล์  และอวัยวะต่างๆในร่างกาย
 3.  ช่วยทำให้ร่างกายของเรารู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า  เนื่องจากมีผลในการกระตุ้นการทำงาน
      ระดับเซลล์

และนอกจากสรรพคุณดังกล่าวจากสาร EGCG ที่มีอยู่ในชาเขียวแล้ว ชาเขียวยังให้สารอื่นๆ อีกมากมาย เช่น สารคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ซึ่งมีประโยชน์ต่อขบวนการการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง   และขับสารพิษตกค้างออกจากร่างกายของเรา และจะทำงานร่วมกับสาร EGCG ในการช่วยทำให้ร่างกายของเรารู้สึกสดชื่น และลดความเสี่ยงจากอันตรายของสารพิษและอนุมูลอิสระ   นอกจากนั้นชาเขียวยังมีวิตามิน    (Vitamins)  เกลือแร่ (Minerals)   และสารอาหารจากพืชที่มีความสำคัญต่อร่างกายอีกมากมาย



ข้าวบาร์เลย์   (Barley)
เป็นธัญพืชเก่าแก่ของมนุษย์ มีถิ่นกำเนิดในแถบซีเรียและอิรัก     ซึ่งเชื่อว่าเป็นบริเวณที่มีการเพาะปลูกเป็นแห่งแรก   ชาวกรีกและโรมันโบราณนำข้าวบาร์เลย์มาทำขนมปังและเค้กเมื่อกว่า 2,000 ปีมาแล้ว  ต่อมาผู้คนหันไปนิยมรสชาติของข้าวสาลีมากกว่าในปัจจุบันข้าวบาร์เลย์ใช้มากในการผลิตมอลต์สำหรับอุตสาหกรรมเบียร์และวิสกี้  นอกจากนี้ยังมีการใช้ข้าวบาร์เลย์เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ธัญชาติอบกรอบ  และขนมอบด้วย
ข้าวบาร์เลย์เป็นพืชในวงศ์เดียวกับไผ่ (ดูไผ่ตง) ตะไคร้ หญ้าและธัญพืช เช่น ข้าวโพด ข้าวสาลี ใบอ่อนของข้าวบาร์เลย์มีคุณค่าให้คลอโรฟิลล์  ซึ่งมีแร่ธาตุและวิตามินสู

ประโยชน์ของข้าวบาร์เลย์

  1. ขจัดสารพิษในร่างกาย
  2. ลดระดับคลอเลสเตอรอล
  3. ลดระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคเบาหวาน
  4. ป้องกันโรคหัวใจ
  5. ป้องกันปัญหาท้องผูก ลดปัจจัยการเกิดมะเร็งลำไส้ 
พืชสีเขียวที่ได้ยกตัวอย่าง ทั้ง 4 ชนิด ได้แก่ อัลฟัลฟ่า  วีทกราส (ต้นข้าวสาลีอ่อน) สาหร่ายคลอเรลลา และชาเขียว  ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น และอีกอย่างคือข้าวบาร์เลย์ เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่มีคุณค่าต่อร่างกายของเราเช่นกัน
เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของเรา เราควรเลือกสรรสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยการศึกษาคุณประโยชน์และโทษที่อาจจะเกิดขึ้นให้ดีก่อนนำสู่ร่างกาย

ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพที่ดี   "สุขภาพดีมีชัยไปกว่าครึ่ง"

www.behealthy24hr.com





 


วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2559

วีทกราส ต้นข้าวสาลีอ่อน

วันนี้มาทำความรู้จักกับ วีทกราส หรือต้นข้าวสาลีอ่อน


ประวัติความเป็นมา
วีทกราส (ต้นกล้าข้าวสาลีอ่อน) มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน นับย้อนไปถึงสมัยอียิปต์โบราณกว่า 3,000 ปีมาแล้ว เมล็ดข้าวสาลีถือกันว่า มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด ทั้งนี้เพราะมันจะดูดเอาแร่ธาตุจากดินไว้ถึง 92 ชนิด จากจำนวนแร่ธาตุในดินทั้งหมด 102 ชนิด มีทั้งแคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม โซเดียมและโปแตสเซียม นอกจากนั้นใจต้นข้าวสาลีอ่อนก็ยังมีโปรตีนอยู่ในปริมาณสูง เพื่อตับอ่อนจะได้นำไปใช้ในการเปลี่ยนแป้งและน้ำตาลให้กลายเป็นพลังงาน  มีคลอโรฟิลล์อยู่สูงถึง 70% รวมทั้งอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ และกรดอะมิโน วีทกราส จึงไปช่วยสร้างเม็ดเลือด และบำรุงร่างกายให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า รักษาอาการผิดปกติต่างๆ และโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดแก่ร่างกาย มีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์ จิตใจแจ่มใสเบิกบาน คุณค่าทางโภชนาการของวีทกราส เป็นแหล่งรวมของวิตามิน A และวิตามิน C จากธรรมชาติ ที่สมบูรณ์ที่สุด อุดมด้วยเกลือแร่ และแร่ธาตุครบถ้วน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพของดิน และเมล็ดพันธุ์อีกด้วย
                สปร้าก แครมตั้ง แฮริส ต่างก็ได้ทำการทดลองเกี่ยวกับวีทกราส ไว้พบว่า วีทกราสเป็นแหล่งรวมแร่ธาตุที่สมบูรณ์ที่สุด นายแพทย์ เบิร์ก โฮเค้อร์ แห่งมหาวิทยาลัยเยล กล่าวว่า บรรดาต้นหญ้าทั้งหลายจะมี ปริมาณของวิตามิน B สูงมากเป็นพิเศษคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย จากการทดลองในห้องทดลองของ ศจ.ปีเตอร์ อาร์ค แผนกโรคพืชแห่งมหาวิทยาลัยแคริฟอร์เนียวิทยาเขตเบริคลีย์ พบว่า ใบข้าวสาลีมีคุณสมบัติต้านทานเชื้อแบคทีเรียชนิดแกรมบวกและเชื้อรา


วีทกราสเป็นแหล่งคลอโรฟิลล์ที่สมบูรณ์ที่สุด
                คลอโรฟิลล์ที่ได้จากการคั้นน้ำจากต้นข้าวสาลีอ่อนจะมีปริมาณสูงถึง 70% นายแพทย์ ยอร์จ โคลเล่อ ได้บรรยายต่อที่ประชุมวิชาการแพทย์ว่า ในอนาคตมนุษย์เราจะพยายามขวนขวายหาพลังสุริยะจากพืช เพื่อนำมาฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย น้ำคั้นจากต้นข้าวสาลีอุดมไปด้วยสารคลอโรฟิลล์สดๆ และสามารถนำมาดื่นได้อย่างปลอดภัย หรืออาจนำไปรับประทานในรูปอื่นๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีผลร้ายต่อร่างกาย กล่าวกันว่า คลอโรฟิลล์ เปรียบเหมือนเลือดหล่อเลี้ยงชีวิตพืช โมเลกุลของคลอโรฟิลล์ เป็นต้นกำเนิดของชีวิตพืชทั้งมวล คลอโรฟิลล์เป็นน้ำหล่อเลี้ยงที่เปี่ยมไปด้วยพลังสุริยะ คลอโรฟิลล์เป็นยาขนานวิเศษที่ธรรมชาติประทานมาเพื่อช่วยบำบัดอาการผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายทั้งภายในและภายนอก คลอโรฟิลล์ให้ความอยู่รอดแต่ชีวิต เนื่องจากให้สารอาหารที่เปี่ยมด้วยพลังแก่ร่างกายโดยที่ร่างกายไม่จำเป็นต้องสูญเสียพลังงานในการรับสารอาหารวิเศษนี้มา คลอโรฟิลล์ดูดซับพลังงานจากแสงอาทิตย์เพื่อนำมาสร้างน้ำตาลแป้งและโปรตีน วงการวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า คลอโรฟิลล์ ไม่เพียงแต่ไปหยุดยั้งการเจริญเติบโตและการระงับการแพร่ของเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น แต่ยังมีโครงสร้างทางเคมีคล้ายคลึงกับเม็ดเลือดแดง ในร่างกายมนุษย์อีกด้วย  จากการศึกษาทดลองที่ได้ทำขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1911 ได้พบว่า คลอโรฟิลล์มีสูตรโครงสร้างทางเคมีคล้ายคลึงกับโครงสร้างของฮีโมโกลบิน ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง สิ่งที่แตกต่างกันเพียงอย่างเดียวก็คือ อะตอมของธาตุที่ประกอบเป็นสารฮีโมโกลบิน นั้น คือธาตุเหล็ก ส่วนในคลอโรฟิลล์นั้นเป็นธาตุแมกนีเซียม คลอโรฟิลล์จากวีทกราส ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง   จากการศึกษาทดลองในสัตว์ทดลองหลายชนิดได้พบว่า คลอโรฟิลล์ไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ ต่อร่างกายมนุษย์ทั้งสิ้น เมื่อรับประทานคลอโรฟิลล์เข้าไปเพียง 4-5 วันติดต่อกัน ปริมาณเม็ดเลือดแดงที่สูญเสียไปจะกลับคืนสู่ระดับปกติ หรือแม้แต่ในสัตว์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าจะมีอาการของโรคโลหิตจางหรือมีปริมาณเลือดแดงต่ำกว่าปาติ ในการทดลองในห้องทดลองที่ได้ทำกันอย่างกว้างขวางได้ชี้ให้เห็นว่าเมื่อร่างกายได้รับสารคลอโรฟิลล์เข้าไป การทำงานของเชลล์เนื้อเยื่อ และการฟื้นคืนสภาพของเชลล์จะเป็นไปอย่างแข็งขันและเร็วขึ้น
                คลอโรฟิลล์ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของน้ำคั้นชนิดขี้ผึ้ง หรือผงจะมีสรรพคุณอย่างน่าทึ่งในการรักษาแผลติดเชื้อเรื้อรัง หรือแผลพุพอง โดยจะออกฤทธิ์ยังยั้งการเจริญเติบโต และการแพร่ขยายของเชื้อแบคทีเรียทันที คลอโรฟิลล์(ที่ได้จากต้นข้าวสาลี) จะก่อให้เกิดสภาวะที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียมากกว่าที่จะออกฤทธิ์ทำลายเชื้อแบคทีเรียโดยตรง
                ในปี ค.ศ.1940 น.พ เบจามิน กรัสคิม ได้เขียนยกย่องสรรพคุณของวีทกราส ไว้ในวารสารศัลยกรรมศาสตร์ของอเมริกันว่า มีคุณสมบัติทางฆ่าเชื้อโรค และมีคุณประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายในการรักษาอาการต่างๆ เช่น ระงับกลิ่นตัว ต่อต้านอาการติดเชื้อต่างๆ ที่เกิดจากเชื้อสเตรปโตคอคคัส รักษาแผลรวมทั้งไปสมานแผลให้หายเป็นปกติเร็วขึ้น ใช้รักษาอาการโพรงจมูกอักเสบเรื้อรังและรักษามะเร็งส่วนขา ลดอาการโป่งพองของเส้นเลือดดำ รักษาอาการอักเสบเรื้อรังและอาการติดเชื้อในช่องหู ส่วนใหญ่ใช้ในการรักษาแผลพุพองและตุ่มต่างๆ บริเวณทวารหนัก อาการติดเชื้อพยาธิในช่องคลอด ลดอาการไข้ไทฟอยด์ และรักษาโรคเหงือกอักเสบในระยะลุกลาม โภชนากรเบอร์นาร์ด เจนเซ่น ได้ยกย่องสรรพคุณของคลอโรฟิลล์ว่าสารช่วยย่อยในคลอโรฟิลล์เป็นตัวนำแม่เหล็ก และประจุไฟฟ้า ทำให้ดูดซึมเข้าในในร่างกายได้อย่างรวดเร็ว และร่างกายแทบจะไม่ต้องสูญเสียพลังงานใดๆในการนี้เลย ขณะที่ร่างกายจะต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ ในการย่อยอาหารแข็ง ซึ่งใช้พลังงานไปไม่น้อยทีเดียว การใช้ประโยชน์ของวีทกราส (ต้นข้าวสาลี) ช่วยฟอกเลือด ช่วยชำระล้างของเสียออกจากร่างกาย ใช้ขจัดรังแค ใช้รักษาอาการติดเชื้อในช่องคลอด ใช้เป็นน้ำยาสวยล้างช่องคลอด ใช้กับช่องปาก
                รับประทานน้ำวีทกราส วันละเล็กน้อย จะช่วยป้องกันฟันผุ เพราะอาการฟันผุนั้นบางครั้งมีสาเหตุมาจากการเสื่อมสภาพของอวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย ใช้อมและบ้วนปากเวลาปวดฟันหรือเจ็บคอ ใช้รักษาอาการเหงือกอักเสบเป็นหนอง โดยเอากากวีทกราส (ต้นข้าวสาลี) มาอมหรือจะเคี้ยววีทกราสสดๆ ก็ได้
สรรพคุณของวีทกราส ด้านอื่นๆ
                ดื่มวีทกราส เพื่อรักษาโรคผิวหนัง แผลพุพอง และอาการโรคเรื้อนกวาง (Psoriasis) ใช้ฆ่าเชื้อโรค ช่วยไม่ให้ผมหงอกขาวก่อนวัย รับประทานบำรุงร่างกายเพราะอุดมด้วยวิตามินสดๆ สามารถใช้ทั้งป้องกันและรักษาอาการผิดปกติต่างๆ ในร่างกาย เมื่อรับประทานน้ำวีทกราส จะรู้สึกมีพลังเพิ่มขึ้น มีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงขึ้น ช่วยให้จิตใจเบิกบาน แจ่มใส ทำให้ความทรงจำแม่นยำขึ้นอีกด้วย น้ำวีทกราสช่วยฟอกเลือดให้บริสุทธิ์ ช่วยย่อยอาหารและลดอาการเสื่อมของโรคไต (เพราะไตเป็นที่กรองเลือด) ช่วยขับนิ่วในกระเพราะปัสสาวะ และขับนิ่วในไต เป็นยาบ้วนปากที่วิเศษ โดยไปขจัดของเสียออกจากเหงือกและฟัน น้ำวีทกราสจะช่วยรักษาอาการผิดปกติที่เกี่ยวกับเลือดทั้งปวง รวมทั้งโรคโลหิตจาง
                น้ำวีทกราส ประกอบด้วยสารช่วยย่อยหลายชนิด ช่วยทำความสะอาดผิวพรรณและซึมแทรกลงไปบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดชื่น โดยนำวีทกราสผสมน้ำอุ่นใช้อาบและแช่ซัก 15-20 นาที เสร็จแล้วล้างตัวด้วยน้ำเย็น หากใช้พอกสิวเสี้ยนก็จะค่อยๆ หายไปโดยเฉพาะอย่างผู้ที่มีสิวหัวช้างเรื้อรัง หรือมีหนองอักเสบจะบรรเทาได้อย่างรวดเร็วมาก ใช้น้ำวีทกราสสวนล้างท้อง จะช่วยรักษาอาการผิดปกติและขจัดของเสียออกจากลำไส้ส่วนล่าง หลังจากสวนล้างท้องด้วยน้ำอุ่นแล้วสัก 20 นาที แล้วใช้น้ำวีทกราสประมาณ 4 ออนซ์ สวนเข้าไปทิ้งไว้ 20 นาที น้ำวีทกราสจะช่วยรักษาอาการท้องผูก ฆ่าเชื้อโรค และขจัดของเสียออกจากร่างกาย
ควรรับประทานวีทกราส มากแค่ไหน
                วีทกราสเสริมสร้างพลังให้แก่ร่างกาย เพราะวีทกราส เป็นอาหารที่สมบูรณ์และอุดมไปด้วยสารคลอโรฟิลล์ ควรเริ่มต้นด้วยการรับประทานวันละ 1 ออนซ์ก่อน พร้อมดื่มน้ำตามเล็กน้อย เมื่อร่างกายชินแล้วก็เลิกดื่มน้ำตาม และเพิ่มขนาดรับประทานวันละ 6 ออนซ์ จะทำให้พลังของคุณเต็มเปี่ยม ควรเคี้ยววีทกราให้คลุกกับน้ำลายให้ทั่วก่อนจะกลืนน้ำวีทกราสลงไป ดื่มน้ำวีทกราสจะไปชำระล้างสารพิษต่างๆ ออกจากร่างกาย แรกๆ อาจะรู้สึกคลื่นไส้บ้างทั้งนี้เพราะสารคลอโรฟิลล์จะไปทำปฏิกิริยากับสารพิษและเมือกต่างๆ ในกระเพาะ
พิษภัยที่เกิดจากวีทกราส
                จากการศึกษาทางกองพิษวิทยา ได้แสดงให้เห็นว่า คลอโรฟิลล์จะปลอดพิษไม่ว่าจะใช้รับประทาน หรือฉีดเข้าไปในร่างกายในการศึกษากับสัตว์ทดลองหลายชนิด ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า คลอโรฟิลล์ไม่มีพิษภัยต่อร่างกายแต่อย่างใด
ประโยชน์ของวีทกราส ด้านอื่นๆ
น้ำวีทกราสกับการฉายรังสี
                จากการทดลองได้ทำกันอย่างกว้างขวาง ชี้ให้เห็นว่า น้ำวีทกราสที่อุดมไปด้วยสารคลอโรฟิลล์ ช่วยลดอัตราการตายของสัตว์ทดลองที่ได้รับรังสีในระดังสูงที่อยู่ในขั้นอันตรายอย่างรุนแรง ในปี ค.ศ.1950 ลอโรและลาติกได้รายงานไว้ว่า อาหารเสริมที่ทำจากกระหล่ำปลี (อุดมด้วยคลอโรฟิลล์) จะช่วยเพิ่มฤทธิ์ต้านทานการฉายรังสีในหนูทดลองรังสีเอ็กซเรย์
                ถ้าคุณเพิ่งได้รับการฉายรังสีเอ็กซเรย์มา หรืออาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยมลพิษ ดื่มน้ำวีทกราสทุกวันจะช่วยลดพิษร้ายที่ร่างกายจะได้รับในแต่ละวันได้ ในวีทกราสจะประกอบไปด้วยสารคลอโรฟิลล์ถึง 70% ปริมาณของสารช่วยย่อยจะมีอยู่สูงสุดในระยะนี้ นอกจากนั้นยังอุดมด้วยสารแลทริล (วิตามิน B17) ที่จะไปทำลายเซลล์มะเร็งโดยเฉพาะ และไม่ทำอันตรายต่อเซลล์ปกติแต่อย่างใด จากการวิจัยของ ดร.เครปส์ พบว่าปริมาณของสารแลทริลที่มีอยู่ในต้นวีทกราสระยะแตกใบและระยะต้นอ่อนจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 100 เท่า เมื่อเทียบกันตอนที่เป็นเมล็ดข้าวแล้ว
                จอโทรทัศน์สีจะกระจายรังสีอันตรายออกมา ถ้านำเอากระถางต้นไม้ใบเขียวหรือต้นข้าวสาลีไปวางไว้หน้าเครื่องรับมันจะดูดซับรังสีอันตรายเหล่านั้น นอกจากนี้ต้นข้าวสาลีหรือพืชใบเขียวยังจะดูดซับมลพิษ และกลิ่นเหม็นต่างๆ ภายในบ้านได้อีกด้วย วีทกราสและสัตว์ เราจะสังเกตเห็นว่า เวลาสัตว์เจ็บป่วยไม่สบายขึ้นมา มันจะหาพืชใบเขียวมากินเพื่อรักษาอาการ พบได้ทั่วไป คือ สุนัขและแมว เวลามันไม่สบายมันจะเดินแทะเล็มต้นหญ้าตามสนาม
วีทกราสกับน้ำดื่ม
                เมื่อนำใบวีทกราส 2-3 ใบ ใส่ลงไปในน้ำประปา ที่มีคลอรีนอยู่ในปริมาณที่สูง แล้วนำไปตรวจดูจะเห็นว่า ไม่พบคลอรีนหลงเหลืออยู่เลย ต่อมาผู้บริหารการประปาแห่งนิวยอร์คก็ได้ทำการทดลองและได้ผลเช่นเดียวกัน ดังนี้วีทกราสจึงช่วยขจัดพิษของสารอนินทรีย์ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม
วีทกราสกับผักผลไม้
                ผักและผลไม้ยังมีสารตกค้างอยู่ ให้นำไปแช่น้ำที่ใส่วีทกราส 2-3 ใบ เพื่อขจัดสารพิษออก จากการทดลองของ ดร.เอิร์น โทมัน ค้นพบว่า ต้นวีทกราสสด 15 ปอนด์ จะให้คุณค่าทางโภชนาการเท่ากับผักสดที่คั้นแล้ว 350 ปอนด์  น้ำวีทกราสสำหรับสตรีมีครรภ์ ให้เริ่มต้นด้วยการดื่มน้ำที่ใส่น้ำวีทกราสลงไป 1 ช้อนชา แล้วค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นเท่าที่ร่างกายจะรับได้ จะเป็นอาหารเสริมได้อย่างดี เพราะน้ำวีทกราสอุดมด้วยสารอาหารทุกชนิด ที่ร่างกายต้องการ
การให้น้ำวีทกราสกับเด็กทารก
                สำหรับเด็กทารกอายุตั้งแต่ 1 ขวบขึ้นไปเริ่มด้วย 1 ช้อนชา เติมลงในน้ำดื่มแล้วค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้น การใช้น้ำวีทกราสใบเด็กปัญญาอ่อน แพทย์หญิง อลิชาเบ็ธ รีส อาจารย์สอนที่สมาคมเด็กปัญญาอ่อนได้รายงานไว้ในการประชุมวิชาการนานาชาติที่นครซานฟรานซิสโก เมื่อปี ค.ศ. 1979 ว่าโลหะหนัก เช่น สารตะกั่ว สารประกอบและสารแคดเมี่ยมจะเข้าไปทำลายระบบประสาทส่วนกลาง มีพิษต่อตับและไต แพทย์หญิง รีส ยังกล่าวต่อไปว่า เมื่อการปฏิวัติอุตสาหกรรม ได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย เราต่าก็สูดสารตะกั่วที่ใช้ผสมในน้ำมันรถยนต์เข้าไปในปอดถึง 90% นอกจากนั้นยังเสริมอีกว่า ในเด็กปัญญาอ่อนส่วนมากจะตรวจพบว่าได้รับพิษจากสารตะกั่ว เข้าไปสูงมากเมื่อเทียบกับเด็กปกติ
การใช้น้ำวีทกราสเพื่อขจัดสารพิษของโลหะหนักในเด็ก
                น้ำวีทกราสเพียงเล็กน้อยจะช่วยลดพิษภัยของสารตะกั่ว แคดเมี่ยม ปรอท อะลูมิเนียม และทองแดงได้อย่างดี ให้ค่อยๆเพิ่มขนาดใช้ขึ้น เริ่มด้วยรับประทานวันละ 1 ออนซ์ โดยผสมในน้ำดื่ม หรือน้ำแอปเปิ้ล น้ำมะนาว หรือน้ำผลไม้อื่นๆ น้ำวีทกราสยังช่วยเพิ่มระดับของธาตุ แคลเซียม เหล็ก แม็กนีเซียม ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม โซเดียม ซัลเฟอร์ และธาตุอื่นๆ
                จากรายงานการวิเคราะห์ของเด็กที่ตรวจพบว่ามีสารตะกั่วระดับสูงในเลือด และได้รับสารทองแดงเข้าไปมากปรากฏว่า เมื่อรับประทานน้ำวีทกราสเป็นเวลา 2 เดือน ติดต่อกัน ปริมาณของสารทองแดงก็ลดลงสู่ระดับปกติรวมทั้งระดับสารพิษตะกั่วก็ลดลงด้วย
อาหารและการลดพิษภัยจากรังสี
                จากการทดลองของสถาบันอาหาร และภาชนะบรรจุของกองทัพบกสหรัฐได้รายงานว่า เมื่อให้หนูอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับบร็อคโคลี่เสริมเข้าไปในอาหารด้วย ปรากฏว่าหนูในกลุ่มหลังจะได้รับพิษภัยจากรังสีน้อยกว่า และมีความทนทานต่อรังสีเพิ่มขึ้น
                ในการทดลองของ J.E.DUPLAN ที่รายงานไว้ใน Compt.rend.Acad.Sic.Paris เมื่อปี ค.ศ.1953 กล่าวว่า เมื่อให้หนูทอลอง กินรำผสมข้าวโอ๊ด และเสริมด้วยกะหล่ำใบเขียว หรือหัวแครอทแล้วนำไปฉายรังสีเอ็กซเรย์ขนาด 300,500 และ 1000 R ปรากฏว่าอัตราการตาย และการลดลงของน้ำหนักน้อยลง การทดลองที่ LOUURAU และ LARTIGUE เมื่อปี ค.ศ. 1994 ก็ได้ผลเช่นเดียวกัน แสดงว่าพืชใบเขียวที่เสริมเข้าไปในอาหารจะช่วยลดภัยของรังสีได้อย่างมาก
น้ำวีทกราสมีประโยชน์มากมาย ขอเชิญชวนทุกท่านดื่มน้ำวีทกราสวันละ 1 แก้ว เพื่อสุขภาพที่ดี