จากบทความครั้งก่อนเราได้ทราบคุณค่าและประโยชน์ของคลอโรฟิลล์ไปแล้ว มาบทนี้ ดิฉันจะขอแนะนำ พืชบางชนิดที่ให้คลอโรฟิลล์สูง ได้แก่ อัลฟัลฟ่า วีทกราส(ต้นข้าวสาลีอ่อน) สาหร่ายคอลเรลล่า ข้าวบาร์เลย์ และชาเขียว
1.“อัลฟัลฟ่า”
หญ้ามหัศจรรย์
เมื่อหลายทศวรรษมาแล้ว ชาวอาหรับได้ใช้อัลฟัลฟ่าเลื้ยงม้า
ซึ่งบอกว่าหญ้าชนิดนี้ทำให้ม้าแข็งแรง และวิ่งเร็ว
เขาก็ลองรับประทานเองจึงแน่ใจผลของหญ้าชนิดนี้ที่มีต่อสุขภาพ
และความแข็งแรงของตนเองจึ่งตั้งชื่อว่า “อัลฟัลฟ่า” (Alfalfa) แปลว่า
บิดาของอาหารทุกชนิด (Father of Food) รากของหญ้าอัลฟัลฟ่า
หยั่งลึกลงไปใต้ดินลึกกว่า 130 ฟุต จึงมีประสิทธิภาพในการดูดซึมแร่ธาตุอาหารได้มากกว่าและบริสุทธิ์กว่า
ไม่มีรากของพืชชนิดใดสามารถหยั่งลึกลงไปได้ อัลฟัลฟ่ามี วิตามินเอ อี เค และดี
โปรตีนสูง และมีฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก โปรแตสเซียม คลอรีน โซเดียม ซิลิคอน แมกนีเซียม
และแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการเพียงเล็กน้อยอีกหลายชนิด อัลฟัลฟ่า
มีเอ็นไซม์ที่ส่งเสริมปฏิกิริยาทางเคมีที่สามารถทำให้การดูดซึมสารอาหารภายในร่างกายเป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม
อัลฟัลฟ่า
สามารถช่วยโรคกระเพาะ ปวดท้องเพราะมีแก๊สมาก รักษาแผลในกระเพราะลำไส้ อาการบวม
การช่วยขับน้ำที่ขังอยู่ตามเนื้อเยื่อของร่างกาย ช่วยรักษาอาการปวดข้อ ข้อแข็งแรง
ช่วยรักษาโรคติดสุราและยาเสพติด และยังช่วยโรคอ้วนด้วย
Alfalfa
ดร.แฟรงค์ ไบเออร์ นักชีววิทยา
ซึ่งเป็นผู้เขียนตำราเกี่ยวกับโภชนาการที่มีชื่อของสหรัฐอเมริกา ได้ให้ฉายา
“หญ้าอัลฟัลฟ่า” ว่าเป็นยารักษาโรคที่มหัศจรรย์ เขาได้ค้นพบว่า ใบหญ้าซึ่งเกิดในตระกูลถั่วนี้มีเอ็นไซม์อยู่
8 ชนิด ได้แก่ ไลเปส อาเมเลส โคกุเลส
อีมูสซิน อินเวอร์เคส เปอร์อ๊อกซิเตส เพดติเนส และ โปรตีเอส ซึ่งภายหลังก็ได้รับการยืนยันจาก ดร. ซี เอ
เจคอบสัน ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์สาขาโภชนาการของรัฐบาลสหรัฐ หมอเป็นจำนวนมากได้ใช้ใบหญ้า
“อัลฟัลฟ่า” รักษาเกี่ยวกับโรคกระเพาะอาหารต่างๆ เช่น
มีแก๊สในกระเพราะเกิดจากอาการจุกเสียดเป็นประจำ โรคกระเพาะ และโรคเบื่ออาหาร
โดยพบว่า “อัลฟัลฟ่า” มีวิตามิน ยู ซึ่งมีประโยชน์ต่อการรักษาโรคกระเพาะ
ดร.กาเนาท์
แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กล่าวว่า วิตามิน ยู นี้มีศักยภาพในการรักษาโรคกระเพาะ
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในวิตามิน ยู ก็พบได้ในกะหล่ำปลีสดเหมือนกัน
ฉะนั้นนักโภชนาการหลายคนจึงได้แนะนำให้ผู้ป่วยเป็นโรคนี้ดื่นน้ำคั้นจากกะหล่ำปลีสด
เพื่อรักษาโรค นอกจากหญ้า “อัลฟัลฟ่า” ยังมีคุณสมบัติในการช่วยขับถ่ายปัสสาวะให้เป็นปกติ
และมีฤทธิ์เป็นยาระบายตามธรรมชาติอย่างอ่อนๆ อีกด้วย และคาดว่า ประกอบด้วยวิตามิน
อี แร่ธาตุ แคลเซียม และฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญ
ที่ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรงในเด็กอีกด้วย ในหนังสือของแคทเทอรีนเอลวูล ชื่อ Feel Like Millton ได้กล่าวว่า
ความมหัศจรรย์ของ “อัลฟัลฟ่า” อัดเม็ดได้เป็นที่ประจักษ์แล้วเป็นอย่างดี
โดยหมอประจำครอบครัวของเราได้ให้คนไข้ของเขาลองรับประทาน “อัลฟัลฟ่า” วันละ 18
เม็ด วันละ 3 ครั้ง เพื่อรักษาอาการปวดตามข้อ ก็ได้รับรายงานจากคนไข้ว่า
เขาสามารถงอมือได้สะดวกยิ่งขึ้น และเจ็บปวดก็หายไป “อัลฟัลฟ่า”
ยังประกอบไปด้วยวิตามินที่มีประโยชน์มากมายหลายชนิด ใน “อัลฟัลฟ่า” 100 กรัม
มีวิตามินเอ 8,000 ยูนิต และยังมีวิตามินบี 5 วิตามิน อี
ตามธรรมชาติในปริมาณสูงอีกด้วย ซึ่งช่วยในกระบวนการแข็งตัวของเลือด “อัลฟัลฟ่า”
มีวิตามินอีสูงถึง 20,000-40,000 ยูนิต ในปริมาณ “อัลฟัลฟ่า” 100 กรัม
ฉะนั้นเราจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมนักโภชนาการจึงได้ให้สมญานาม “อัลฟัลฟ่า”
ว่าเป็นหญ้ามหัศจรรย์
Alfalfa กับ ประโยชน์ต่อร่างกาย
ประโยชน์หลักของ
Alfalfa ที่มีการใช้อย่างแพร่หลาย คือ
ใช้เพื่อสุขภาพสตรีวัยใกล้หมดประจำเดือนภาวะคลอเรสเตอรอลสูง อย่างไรก็ตาม กรดอะมิโน ที่จำเป็นที่อยู่ในใบของ
Alfalfa จะช่วยให้การทำงานของระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดี อีกทั้งยังเป็นยาระบายและยาขับปัสสาวะทางธรรมชาติที่ดี
มักใช้ Alfalfa เพื่อการบำบัดอาการติดเชื้อทางปัสสาวะ
และกระเพาะปัสสาวะ และอาการเกี่ยวกับต่อมลูกหมากและยังช่วยขจัดพิษในร่างกายโดยเฉพาะในตับได้อีกด้วย
นอกจากนี้ Alfalfa ยังบรรจุไปด้วยวิตามินและสารต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของร่างกายมากมาย เช่น
- วิตามินK ในAlfalfaจะช่วยป้องกันอาการคลื่นเหียนอยากอาเจียนได้
- Alfalfa ยังมีสาร fluoride และ แคลเซียม ที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงในกระดูก และป้องกันฟันผุ
- ส่วนสาร betacareotene ยังเป็นประโยชน์ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันโรค ผิวหนังและเยื่อบุผิวให้มี สุขภาพที่ดี
- Alfalfa อุดมไปด้วย แคลเซียม วิตามิน C B12 และ bioflavinoid ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีประโยชน์ต่อผู้ที่รับประทาน
อาหารมังสวิรัตเป็นอย่างมาก
- สาร saponin ที่พบใน Alfalfa มีลักษณะเดียวกันกับที่พบในรากโสม ซึ่งอาจช่วยหรือส่งเสริมให้การทำงานของระบบ
ประสาทและกล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้อย่างเหมาะสม
- สาร Chlorophyll จะช่วยในการดับกลิ่นปากและกลิ่นตัว ต่อต้านความเป็นกรดเปรี้ยวของร่างกาย และช่วยดูแลแบคทีเรีย
ชนิดดีที่ช่วยในการย่อยภายในลำไส้อีกด้วย
- ไฟเบอร์ตามธรรมชาติที่มีอยู่มากใน Alfalfa จะช่วยฟื้นฟูภาวะลำไส้อ่อนแอ นอกจากนี้ ไฟเบอร์ ยังช่วยในการลำเลียง
ของเสียที่อยู่ภายในลำไส้ออกจากระบบได้เป็นอย่างดี ทำให้หลอดลำไส้มีสุขภาพที่ดีขึ้น
- Alfalfa ยังมีส่วนช่วยฟื้นฟู บรรเทาคนไข้ที่อยู่ในภาวะติดสารเสพติดหรือแอลกอฮอล์ได้
- Alfalfa มีสาร carotene ที่ช่วยสร้างหรือซ่อมแซมเซลล์ภายในร่างกายใหม่ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งที่
ต้องการฟื้นฟูเซลล์ที่ถูกทำลายไป
- วิตามินK ในAlfalfaจะช่วยป้องกันอาการคลื่นเหียนอยากอาเจียนได้
- Alfalfa ยังมีสาร fluoride และ แคลเซียม ที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงในกระดูก และป้องกันฟันผุ
- ส่วนสาร betacareotene ยังเป็นประโยชน์ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันโรค ผิวหนังและเยื่อบุผิวให้มี สุขภาพที่ดี
- Alfalfa อุดมไปด้วย แคลเซียม วิตามิน C B12 และ bioflavinoid ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีประโยชน์ต่อผู้ที่รับประทาน
อาหารมังสวิรัตเป็นอย่างมาก
- สาร saponin ที่พบใน Alfalfa มีลักษณะเดียวกันกับที่พบในรากโสม ซึ่งอาจช่วยหรือส่งเสริมให้การทำงานของระบบ
ประสาทและกล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้อย่างเหมาะสม
- สาร Chlorophyll จะช่วยในการดับกลิ่นปากและกลิ่นตัว ต่อต้านความเป็นกรดเปรี้ยวของร่างกาย และช่วยดูแลแบคทีเรีย
ชนิดดีที่ช่วยในการย่อยภายในลำไส้อีกด้วย
- ไฟเบอร์ตามธรรมชาติที่มีอยู่มากใน Alfalfa จะช่วยฟื้นฟูภาวะลำไส้อ่อนแอ นอกจากนี้ ไฟเบอร์ ยังช่วยในการลำเลียง
ของเสียที่อยู่ภายในลำไส้ออกจากระบบได้เป็นอย่างดี ทำให้หลอดลำไส้มีสุขภาพที่ดีขึ้น
- Alfalfa ยังมีส่วนช่วยฟื้นฟู บรรเทาคนไข้ที่อยู่ในภาวะติดสารเสพติดหรือแอลกอฮอล์ได้
- Alfalfa มีสาร carotene ที่ช่วยสร้างหรือซ่อมแซมเซลล์ภายในร่างกายใหม่ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งที่
ต้องการฟื้นฟูเซลล์ที่ถูกทำลายไป
หมายเหตุ
การรักษาโรคของหญ้า “อัลฟัลฟ่า” นี้จะเป็นลักษณะแปลเรียบเรียงจากบทความ “What about Alfalfa”? โดย ดร.เกิล มินเกล ผู้เขียน “Vitamin
BibleW Vitamin Bible for Your kids.1980
บทต่อไปดิฉันจะกล่าวถึง วีทกราส(ต้นข้าวสาลีอ่อน) ซึ่งมีคุณค่ามากมายต่อร่างกาย และเป็นพืชอีกหนึ่งชนิดที่มีคลอโรฟิลล์สูงเช่นกัน
www.behealthy24hr.com
บทต่อไปดิฉันจะกล่าวถึง วีทกราส(ต้นข้าวสาลีอ่อน) ซึ่งมีคุณค่ามากมายต่อร่างกาย และเป็นพืชอีกหนึ่งชนิดที่มีคลอโรฟิลล์สูงเช่นกัน
www.behealthy24hr.com